10 กุมภาพันธ์ 2568



นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปฏิบัติการสอบนำออกกำลังกายหน้าเสาธง ได้คะแนน 20 คะแนน


จัดเตรียมเครื่องเสียง


สอบปฏิบัติทักษะกีฬา 
ช่วงชั้น 2 ป.4 - 6
ช่วงชั้น 3 ม.1 - ม.3
ระหว่างวันที่ 10 - 21 กุมภาพันธ์ 2568

บทเรียนเพื่อค้นหาแนวทางสร้างภาพเป็นคลิปวิดีโอ
เวลา 21.00 - 23.00 น.


เข้าผ่านทาง Google เพื่อง่าย สะดวกรวดเร็ว แต่ต้องลงชื่อเข้าใช้ก่อนจึงจะทำงานได้ดี






คิดไม่ออก ของ GPT ช่วย


ได้แนวทางมา รอปรับเนื้อหาใหม่

นิทานล้านนากับมวยไทย: "น้อยคำ กับ ศึกชิงสายรัดข้อมือทอง"

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่อาณาจักรล้านนา มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อว่า "บ้านดอนคำ" ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องศิลปะการต่อสู้แบบล้านนา ชาวบ้านที่นี่ฝึกการต่อสู้แบบ "มวยโบราณล้านนา" ซึ่งเป็นศิลปะป้องกันตัวที่ได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติและการเคลื่อนไหวของสัตว์ป่า

ในหมู่บ้านแห่งนี้ มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อ “น้อยคำ” เขาเป็นเด็กขยันขันแข็งและชื่นชอบการฝึกมวยโบราณของปู่เป็นอย่างมาก ปู่ของน้อยคำเคยเป็นยอดนักสู้มาก่อน และสอนให้หลานของตนเรียนรู้ศิลปะมวยล้านนา ตั้งแต่การออกหมัด การตั้งการ์ด และการใช้จังหวะให้เหมาะสม

วันหนึ่ง ทางหมู่บ้านข้างเคียงได้จัดการแข่งขัน "ศึกชิงสายรัดข้อมือทอง" ซึ่งเป็นการแข่งขันมวยไทยและมวยโบราณที่มีชื่อเสียงของอาณาจักร ใครก็ตามที่ชนะการแข่งขันนี้ จะได้รับเกียรติและสายรัดข้อมือทองคำเป็นรางวัล

"ปู่จ๋า! น้อยคำอยากลองเข้าแข่งขัน" เด็กชายกล่าวด้วยแววตาแน่วแน่

ปู่ของเขายิ้มก่อนจะพยักหน้า "ถ้าหลานพร้อม ก็จงใช้หัวใจแห่งนักสู้ล้านนา แล้วแสดงให้เห็นว่าศิลปะของเราไม่ได้ด้อยไปกว่ามวยไทย"

ศึกชิงสายรัดข้อมือทอง

เมื่อถึงวันแข่งขัน นักสู้จากหลายหมู่บ้านมารวมตัวกัน ทั้งนักมวยไทยจากภาคกลางที่แข็งแกร่ง นักมวยใต้ที่เร็วราวสายฟ้า และนักมวยอีสานที่หนักหน่วงราวพายุ น้อยคำต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ท้าทาย แต่ด้วยท่วงท่ามวยล้านนา เช่น “ท่าหมัดพญานาค” และ “ท่าเตะพญาอินทรี” ที่ปู่สอนมา ทำให้เขาสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้อย่างชาญฉลาด

จนกระทั่งถึงรอบสุดท้าย น้อยคำต้องเผชิญหน้ากับ “ขุนศึกเมืองพิงค์” นักมวยไทยที่แข็งแกร่งที่สุดของการแข่งขัน ขุนศึกใช้แม่ไม้มวยไทยที่ทรงพลัง เช่น "เตะตัดล่าง" และ "ศอกกลับสายฟ้า" แต่น้อยคำใช้ท่าตั้งการ์ดล้านนาและเคลื่อนตัวหลบอย่างชาญฉลาด

เมื่อถึงจังหวะสุดท้าย น้อยคำใช้ท่า “พยัคฆ์ขย้ำเหยื่อ” ปล่อยหมัดตรงผสมศอกเข้าที่กลางลำตัวของขุนศึกจนเขาล้มลง กรรมการประกาศให้น้อยคำเป็นผู้ชนะ และมอบสายรัดข้อมือทองคำแก่เขา

ปู่ของน้อยคำเดินเข้ามาและพูดด้วยรอยยิ้ม "วันนี้หลานไม่ได้เพียงชนะศึก แต่หลานยังพิสูจน์ให้เห็นว่าศิลปะมวยล้านนาของเรามีคุณค่าและงดงามไม่แพ้ใคร"

นับแต่นั้นเป็นต้นมา น้อยคำกลายเป็นนักสู้ที่ได้รับความเคารพ และศิลปะมวยล้านนายังคงถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นสืบไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

✅ ความพยายามและการฝึกฝนอย่างหนักนำไปสู่ความสำเร็จ
✅ ศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงมีความงดงามและคุณค่าในตัวเอง
✅ การใช้สติและไหวพริบสำคัญกว่าพละกำลัง


เด็กน้อยล้านนา ผู้ใฝ่เรียนมวยและกลองสะบัดชัย

ชื่อเรื่อง “ศิษย์น้อยแห่งวัดไทย”

บทนำ

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางภาคเหนือของไทย มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อ “แก้วคำ” เขาเติบโตมากับเสียงกลองสะบัดชัยที่ดังก้องมาจากวัดไทยใกล้บ้าน และเสียงเล่าขานถึงศิลปะมวยล้านนาของบรรพบุรุษ แก้วคำหลงใหลในทั้งสองศาสตร์ เขาฝันอยากเป็นทั้งนักมวยและนักตีกลองสะบัดชัยเพื่อรักษามรดกของบรรพชน

จุดเริ่มต้นของความฝัน

วันหนึ่ง แก้วคำเดินเข้าไปในวัดและพบกับ หลวงพ่อบุญเรือง ผู้เป็นทั้งครูสอนกลองสะบัดชัยและเป็นอาจารย์ที่เคยฝึกมวยโบราณมาก่อน

"หลวงพ่อครับ ผมอยากเรียนทั้งมวยและตีกลองสะบัดชัย จะเป็นไปได้ไหมครับ?" เด็กน้อยถามด้วยแววตาแน่วแน่

หลวงพ่อบุญเรืองยิ้มก่อนจะตอบว่า "มวยและกลองสะบัดชัยไม่ต่างกันเลยนะโยม ทั้งสองอย่างต้องใช้จังหวะ ความแข็งแกร่ง และจิตใจที่มุ่งมั่น ถ้าศิษย์น้อยพร้อม ก็มาเรียนรู้กับอาตมาเถิด"

ศิษย์แห่งมวยและกลองสะบัดชัย

นับแต่นั้นมา แก้วคำตื่นแต่เช้ามืดมาเรียนมวย เขาฝึกท่าต่าง ๆ เช่น "ท่าหมัดพญานาค", "ท่าเตะนาคปรก", และ "ท่าศอกพญาครุฑ" กลางวันเขาก็ช่วยงานวัด เช่น กวาดลานวัด เก็บดอกไม้บูชาพระ และตอนเย็นจึงฝึกกลองสะบัดชัย เสียงกลองดังเป็นจังหวะคล้ายหัวใจของเขาเอง

"ตึง! ตึง! ตึง! ป๊ะ! ป๊ะ! ป๊ะ!"
เสียงกลองสะบัดชัยดังไปทั่ววัด เขารู้สึกว่าการตีกลองช่วยให้เขาเข้าใจจังหวะของมวยได้ดีขึ้น และการฝึกมวยก็ช่วยให้เขาควบคุมพลังของการตีกลองได้สมดุล

วันแห่งบททดสอบ

หลังจากฝึกหนักมาหลายเดือน วัดของเขาถูกเชิญให้แสดงกลองสะบัดชัยในงานบุญประจำปี และมีการประลองมวยโบราณของศิษย์วัดจากหลายจังหวัด

"แก้วคำ เจ้ากล้าขึ้นเวทีหรือไม่?" หลวงพ่อถาม

เด็กน้อยยกมือไหว้ก่อนตอบอย่างมั่นใจ "ขอรับ! ข้าจะใช้สิ่งที่หลวงพ่อสอนมาพิสูจน์ตนเอง"

บนเวทีมวย เขาใช้ท่วงท่าที่ฝึกฝนมาอย่างดี หลบหลีกคล่องแคล่วเหมือนจังหวะกลองสะบัดชัย ทุกครั้งที่เขาออกอาวุธ เหมือนเสียงกลองดังประสานกับจังหวะของเขา สุดท้ายเขาชนะการแข่งขัน และเมื่อถึงเวลาตีกลองสะบัดชัย เสียงกลองของเขาก็หนักแน่น สะท้อนถึงจิตใจที่เข้มแข็งของนักสู้

บทสรุป

หลังจบงาน หลวงพ่อบุญเรืองกล่าวว่า "เจ้าพิสูจน์แล้วว่ามวยกับกลองสะบัดชัยไม่แยกจากกัน ศิลปะทั้งสองต้องอาศัยหัวใจที่มั่นคงและจิตใจที่บริสุทธิ์"

แก้วคำก้มลงกราบครูบาอาจารย์ ตั้งใจว่าจะสืบทอดศิลปะล้านนาทั้งสองแขนงนี้ให้คงอยู่ตลอดไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า:

✅ ความมุ่งมั่นและการฝึกฝนสามารถทำให้เราเชี่ยวชาญได้มากกว่าหนึ่งสิ่ง
✅ ศิลปะทุกแขนงมีความเกี่ยวข้องกัน และสามารถเสริมสร้างซึ่งกันและกัน
✅ การเคารพครูบาอาจารย์และตั้งใจเรียนรู้ นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต



The Little Lanna Boy Who Dreamed of Muay Thai and Sabadchai Drumming


Scene 1: The Dream Begins

In a small village in Northern Thailand, a young boy named Kaewkham grew up listening to the rhythmic beats of the Sabadchai drum echoing from the nearby temple. He also loved hearing stories of Muay Lanna, the ancient boxing style passed down through generations.

One day, as he watched the monks and temple boys practice the powerful drum rhythms, he whispered to himself, “I want to learn both Muay Thai and Sabadchai drumming. Can I really do both?”

His heart was filled with determination. He decided to visit the temple and ask the wise Luang Por Boonruang, a monk known for teaching both Muay Thai and Sabadchai drumming.


Scene 2: Seeking the Master

At the temple, Kaewkham found Luang Por Boonruang sitting under a large Bodhi tree. Taking a deep breath, he bowed respectfully and asked,

"Luang Por, may I learn both Muay Thai and Sabadchai drumming?"

The old monk smiled and replied, "Muay Thai and drumming are not so different, my boy. Both require rhythm, strength, and a steady heart. If you are willing to dedicate yourself, I will teach you."

Kaewkham's eyes lit up with excitement. From that day on, his journey began.


Scene 3: Training Begins

Every morning before sunrise, Kaewkham practiced Muay Lanna. He learned powerful moves like “Naga Punch”, “Naga Coil Kick”, and “Garuda Elbow Strike”. The monk taught him that each move had a meaning, just like the beats of the Sabadchai drum.

In the afternoon, Kaewkham helped clean the temple and arrange offerings. In the evening, he practiced Sabadchai drumming, striking the drum in powerful, rhythmic beats.

“Boom! Boom! Boom! Pak! Pak! Pak!”

As he drummed, he realized something—his footwork in Muay Thai matched the rhythm of the drum. His punches and kicks became stronger, guided by the steady beat.


Scene 4: The Test of Strength

Months passed, and the village prepared for a grand festival. There would be a Muay Thai demonstration and a Sabadchai drumming performance.

One evening, Luang Por asked Kaewkham, "Are you ready to test yourself?"

Kaewkham took a deep breath and nodded. "Yes, Luang Por. I am ready."

On the festival day, he stepped into the Muay Thai ring. As the match began, he moved with grace and precision, his rhythm guided by the beats he had learned from the drum. Every strike, every dodge, every step followed the unseen music of his heart.

After an intense match, he emerged victorious. But his journey was not over.

That night, under the bright lanterns, Kaewkham took his place at the large Sabadchai drum. With each strike, the sound resonated through the village, powerful and full of spirit.

The crowd watched in awe. He was no longer just a boy—he was a warrior of tradition, a guardian of Muay Thai and Sabadchai drumming.


Scene 5: A New Legacy

After the festival, Luang Por placed a hand on Kaewkham’s shoulder and said,

"You have proven that Muay Thai and Sabadchai are one and the same. Both require strength, discipline, and respect. You must now pass this knowledge to others."

Kaewkham bowed deeply and promised, "I will honor my teachers and keep our traditions alive."

From that day forward, he trained younger students in the village, ensuring that the spirit of Muay Lanna and Sabadchai drumming would never fade.


Moral of the Story:

Dedication and discipline can help us master multiple skills.
All arts and traditions are connected—if we look closely, we can learn from everything around us.
Respecting our teachers and traditions allows us to grow and pass knowledge to the next generation.






ประเด็นท้าทาย สุดๆ
1.แกะ Prompt จากภาพต้นฉบับ เพื่อนำไปสร้างภาพใหม่ด้วย AI
2.การส้รางภาพการ์ตูน 3D ให้ใบหน้าเหมือนกันทุกภาพ แต่ต่างสถานการณ์
3.สร้างเสียงพากย์ภาษาไทยด้วย AI
4.เปลี่ยนภาพเป็นวิดีโอ



สร้างเนื้อหาที่ต้องการ

📖 นิทานล้านนา: เด็กชายกับวัดศิลป์นักรบ


ฉากที่ 1: ความฝันของเด็กชาย

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของล้านนา มีเด็กชายชื่อ ขันแก้ว เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวช่างฝีมือที่สร้างวัดและเครื่องดนตรีพื้นเมือง ทุกเช้าเขาตื่นขึ้นพร้อมกับเสียง กลองบูชา ที่ดังก้องจากวัดประจำหมู่บ้าน และทุกคืนเขาเฝ้าดูนักรบโบราณในจิตรกรรมฝาผนังอย่างหลงใหล

"ข้าฝันอยากเป็นนักรบเหมือนบรรพบุรุษ อยากฝึกมวยโบราณ อยากตีกลองสะบัดชัย และอยากฟ้อนดาบให้สง่างามเหมือนพ่อข้าเคยเล่า" ขันแก้วพึมพำกับตัวเอง

วันหนึ่ง เขาตัดสินใจเดินไปที่วัดใหญ่ของหมู่บ้านเพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ ครูบาสมภาร พระอาวุโสที่เชี่ยวชาญทั้งศิลปะการต่อสู้โบราณและศิลปะดนตรีล้านนา


ฉากที่ 2: ครูบาผู้เคร่งครัด

ขันแก้วเดินเข้าไปในวิหาร เจอครูบาสมภารกำลังตีกลองบูชาเสียงกึกก้อง

"เจ้ามาหาเราด้วยเหตุอันใด" ครูบาถาม

"ข้าอยากเรียนศิลปะนักรบของล้านนา ข้าอยากฝึกมวยโบราณ อยากตีกลองสะบัดชัย และอยากฟ้อนดาบสองมือ"

ครูบาสมภารพินิจเด็กชาย ก่อนตอบว่า
"ศิลปะทั้งสามแขนงนี้ต้องใช้วินัย ความอดทน และจิตใจที่เข้มแข็ง หากเจ้าพร้อมจะฝึก ข้าจะสอนเจ้า"

ขันแก้วพนมมือด้วยความยินดี วันรุ่งขึ้นการฝึกของเขาเริ่มต้นขึ้น


ฉากที่ 3: ฝึกมวยโบราณ

ขันแก้วถูกปลุกก่อนฟ้าสางให้เริ่มต้นฝึก มวยโบราณล้านนา ครูบาสอนให้เขาเคลื่อนไหวเหมือนสัตว์ในธรรมชาติ
🐍 งูเลื้อยหลบ – ฝึกการหลบหลีก
🦅 อินทรีโฉบเหยื่อ – ฝึกการเตะสูง
🐘 ช้างกระทืบศัตรู – ฝึกการโจมตีหนักหน่วง

"มวยไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่คือการเคลื่อนไหวที่สอดประสานกับจังหวะของหัวใจและจิตวิญญาณ" ครูบากล่าว


ฉากที่ 4: ฝึกตีกลองสะบัดชัย

ตอนบ่าย ขันแก้วฝึกตีกลองสะบัดชัย กลองศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีสำคัญของล้านนา

"ตุ้ม! ตุ้ม! ป๊ะ! ป๊ะ! ป๊ะ!"

"การตีกลองต้องมีพลังเช่นเดียวกับมวย ทุกจังหวะต้องแน่น รวดเร็ว และทรงพลังเหมือนการปล่อยหมัด" ครูบาสอน

ขันแก้วเริ่มเข้าใจว่ามวยและดนตรีเชื่อมโยงกัน เสียงกลองช่วยให้จังหวะการต่อสู้มั่นคงขึ้น


ฉากที่ 5: ฟ้อนดาบสองมือ

ยามเย็นเป็นเวลาของ ฟ้อนดาบ ศิลปะการร่ายรำพร้อมอาวุธ ขันแก้วจับดาบทั้งสองเล่มมั่นคง เขาเริ่มฝึกหมุนดาบไปตามท่วงท่าที่ครูบาสอน

"จงเต้นรำไปกับสายลม อย่าฝืน แต่จงปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวตามจังหวะหัวใจ"

จากมวยสู่กลอง จากกลองสู่ดาบ ศิลปะทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียว


ฉากที่ 6: พิสูจน์ตัวเองในงานบุญ

หลายเดือนผ่านไป ขันแก้วฝึกหนักจนถึงวันงานบุญใหญ่ของหมู่บ้าน

🎭 ฟ้อนดาบ – เขาฟ้อนดาบสองมืออย่างสง่างาม ท่ารำแข็งแกร่งดั่งนักรบโบราณ
🥁 ตีกลองสะบัดชัย – เสียงกลองของเขาดังกึกก้อง ปลุกจิตวิญญาณของชาวบ้านให้คึกคัก
🥊 โชว์มวยโบราณ – ทุกท่วงท่ามั่นคง แข็งแกร่ง และเปี่ยมไปด้วยพลัง

เสียงโห่ร้องของชาวบ้านดังสนั่น ครูบาสมภารยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

"เจ้าฝึกสำเร็จแล้วขันแก้ว แต่จงจำไว้ ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวเจ้าเพียงคนเดียว เจ้าจงนำสิ่งที่เรียนไปสอนคนรุ่นต่อไป"

ขันแก้วก้มลงกราบรับคำสั่งสอน พร้อมสานต่อศิลปะล้านนาให้คงอยู่สืบไป


🌿 จบ 🌿

เตรียมภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างภาพ


📖 Lanna Tale: The Boy and the Temple of Warrior Arts


Scene 1: The Boy’s Dream

In a small Lanna village, there lived a boy named Khan Kaew. He grew up in a family of artisans who built temples and crafted traditional musical instruments. Every morning, he woke to the sound of the Bucha Drum echoing from the village temple, and every night, he gazed in awe at the murals of ancient warriors.

"I dream of becoming a warrior like my ancestors. I want to learn ancient Lanna boxing, play the Sabat Chai drum, and perform the dual sword dance," Khan Kaew whispered to himself.

One day, he decided to walk to the grand temple in the village to ask to become a disciple of Khruba Sompharn, the revered monk who was a master of both ancient martial arts and Lanna music.


Scene 2: The Strict Master

As Khan Kaew stepped into the temple hall, he saw Khruba Sompharn striking the Bucha Drum, its deep, resonant sound filling the air.

"Why have you come to see me?" the old monk asked.

"I want to learn the arts of the Lanna warrior. I wish to train in ancient boxing, master the Sabat Chai drum, and perform the dual sword dance."

Khruba Sompharn studied the boy carefully before replying,
"These three arts require discipline, patience, and a strong heart. If you are ready, I will teach you."

With hands pressed together in gratitude, Khan Kaew eagerly accepted. The next day, his training began.


Scene 3: Training in Ancient Lanna Boxing

Before sunrise, Khan Kaew was woken up to begin his ancient Lanna boxing training. Khruba Sompharn taught him to move like animals in nature:
🐍 The Serpent’s Glide – Practicing evasive movements
🦅 The Eagle’s Strike – Perfecting high kicks
🐘 The Elephant’s Stomp – Delivering powerful blows

"Boxing is not just about fighting; it is a movement in harmony with your heart and spirit," the master explained.


Scene 4: Beating the Sabat Chai Drum

In the afternoon, Khan Kaew practiced playing the Sabat Chai drum, the sacred drum used in Lanna ceremonies.

"Boom! Boom! Pa! Pa! Pa!"

"Drumming requires power, just like boxing. Every beat must be strong, fast, and precise, like throwing a punch," Khruba Sompharn said.

Khan Kaew began to realize that boxing and music were deeply connected—the rhythm of the drum helped stabilize his fighting movements.


Scene 5: The Dual Sword Dance

As the sun set, it was time for the dual sword dance. Khan Kaew grasped two swords firmly and started practicing the intricate movements taught by his master.

"Dance with the wind. Do not force your movements; let your body flow with the rhythm of your heart."

From boxing to drumming, from drumming to sword dancing—he realized that all three arts were one.


Scene 6: The Festival Test

Months passed, and Khan Kaew trained tirelessly until the grand village festival arrived.

🎭 Dual Sword Dance – He moved gracefully, his swords flashing in the evening light, embodying the spirit of an ancient warrior.
🥁 Sabat Chai Drum Performance – His drumbeats thundered across the village, energizing the crowd.
🥊 Ancient Lanna Boxing Demonstration – His precise and powerful strikes captivated everyone.

The villagers erupted in cheers, and Khruba Sompharn smiled with pride.

"You have succeeded, Khan Kaew. But remember, true knowledge is not meant for you alone. Pass on what you have learned to future generations."

Khan Kaew bowed deeply, ready to preserve the Lanna warrior arts for years to come.


🌿 The End 🌿





ครูเค รักล้านนา

รักอิสระ รักสุขภาพ รักฟ้อนเจิงล้านนา

ใหม่กว่า เก่ากว่า