อบรม 30 ตุลาคม 2568



รายงานสรุปผลการดำเนินโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการครูต้นแบบหลักสูตร Intel® Skills for Innovation (SFI) ณ จังหวัดเชียงใหม่
1. บทสรุปสำหรับผู้บริหารและหลักการและเหตุผล
ในยุคแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4th Industrial Revolution) การเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่สุดของการศึกษา ปัจจุบัน เทคโนโลยีเกิดใหม่ได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบต่อรูปแบบการเรียนรู้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น Generative AI ที่ครูในสหรัฐอเมริกากว่า 51% เริ่มนำมาปรับใช้, Metaverse ที่สามารถเพิ่มความมั่นใจและสมาธิของผู้เรียนได้ถึง 4 เท่า หรือ Gamification ที่ช่วยเพิ่มผลการเรียนรู้โดยรวมได้ถึง 34% แนวโน้มเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงฉากทัศน์ทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และตอกย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับทักษะของทั้งผู้สอนและผู้เรียนให้ก้าวทันโลก
การเปลี่ยนแปลงนี้ยังส่งผลโดยตรงต่อตลาดแรงงานในอนาคต รายงาน Future of Jobs โดย World Economic Forum ได้คาดการณ์แนวโน้มตลาดแรงงานในปี 2030 ไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีอาชีพใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก ขณะที่หลายอาชีพกำลังมีบทบาทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อาชีพใหม่ที่เกิดขึ้น (Emerging Roles)
อาชีพที่มีบทบาทลดลง (Declining Roles)
ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI & Machine Learning
อาชีพเลขาและธุรการ
ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลขนาดใหญ่
เสมียนบัญชี ทำบัญชี และจ่ายเงินเดือน
นักวิเคราะห์ความปลอดภัยของข้อมูล
พนักงานคีย์ข้อมูล
นักวิเคราะห์ข้อมูล
นักบัญชีและผู้สอบบัญชี
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลและกลยุทธ์
พนักงานประกอบสินค้า
ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการอัตโนมัติ
ผู้จัดการฝ่ายธุรการ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาธุรกิจ
พนักงานบริการลูกค้า
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
ช่างซ่อมเครื่องกลและเครื่องจักร
นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน
ผู้จัดการฝ่ายบริการทั่วไป
ผู้เชี่ยวชาญด้านอินเทอร์เน็ตสรรพสิ่ง (IoT)
พนักงานบันทึกวัตถุดิบและเก็บสต็อก
ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอาชีพ ทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน การคาดการณ์ชั่วโมงการทำงานในปี 2030 จากข้อมูลของ McKinsey Global Institute ที่ครอบคลุมสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก ชี้ให้เห็นว่า ทักษะทางด้านเทคโนโลยี จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นถึง 52-60% ตามมาด้วย ทักษะทางสังคมและการจัดการอารมณ์ (22-26%) และ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (7-9%) ในขณะที่ทักษะพื้นฐานและทักษะเชิงเทคนิคทั่วไปจะมีความต้องการลดลง
ด้วยเหตุนี้ โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการครูต้นแบบหลักสูตร Intel® Skills for Innovation (SFI) จึงถูกจัดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายและโอกาสดังกล่าวโดยตรง โดยมุ่งเสริมสร้างศักยภาพครูให้สามารถบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ากับการเรียนการสอน เพื่อพัฒนานักเรียนให้มีทั้งกรอบความคิด (Mindsets) และชุดทักษะ (Skillsets) ที่พร้อมสำหรับโลกอนาคต
2. ภาพรวมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ
โครงการนี้เป็นความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งยกระดับศักยภาพและเตรียมความพร้อมให้แก่คณะครูในสังกัดเทศบาลนครเชียงใหม่ ให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการศึกษา สามารถออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ทันสมัยและตอบโจทย์ทักษะแห่งอนาคตได้อย่างมั่นใจ
หัวข้อ
รายละเอียด
ชื่อโครงการ:
โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการครูต้นแบบหลักสูตร “Intel® Skills for Innovation: เครื่องมือเสริมสร้างทักษะแห่งนวัตกรรม”
วันที่จัด:
วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568
สถานที่:
โรงแรมดิเอ็มเพรส เชียงใหม่
วิทยากรหลัก:
อจิรวดี บุญอนันต์ (มะมี้ว), ผู้จัดการเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม Intel® Skills for Innovation
กลุ่มเป้าหมาย:
ครูผู้สอนจากโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครเชียงใหม่ จำนวน 2 รอบ (เช้าและบ่าย) รอบละ 150 ท่าน
วัตถุประสงค์หลักของการฝึกอบรมมีดังนี้:
• เตรียมความรู้และความเชี่ยวชาญ ที่เพียงพอให้กับครูผู้สอน เพื่อสนับสนุนการนำ Intel® SFI Professional Development และ Intel® SFI Starter Pack ไปใช้ในห้องเรียน
• เตรียมความพร้อมให้กลุ่มครูผู้สอน (Master Trainer) ในการส่งมอบการฝึกอบรมสำหรับ Intel® SFI Professional Development และ Starter Pack Lesson ให้กับครูท่านอื่น
การอบรมครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างเครือข่ายครูต้นแบบที่จะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาในระดับท้องถิ่น
3. สรุปเนื้อหาและกิจกรรมการอบรม
เนื้อหาการอบรมได้รับการออกแบบอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้รับทั้งความรู้เชิงทฤษฎี ความเข้าใจในกรอบแนวคิด และประสบการณ์ตรงจากการลงมือปฏิบัติผ่านกิจกรรม Workshop ที่เน้นการนำไปใช้ได้จริง โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 โมดูลหลัก ดังนี้
โมดูลที่ 1: แนะนำหลักสูตร Intel® Skills for Innovation
โมดูลแรกเป็นการปูพื้นฐานและสร้างความเข้าใจในภาพรวมของกรอบการเรียนรู้ (Framework) ของ Intel® SFI ซึ่งประกอบด้วย 2 องค์ประกอบสำคัญคือ Mindsets (กรอบความคิด) เช่น การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) และการคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) และ Skillsets (ชุดทักษะ) เช่น วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และปัญญาประดิษฐ์ (AI & Machine Learning) กรอบการเรียนรู้นี้ได้รับการวิเคราะห์และเชื่อมโยงเข้ากับหลักการวัดผลการเรียนรู้ของ Bloom's Taxonomy โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการเรียนรู้ของนักเรียนจากการจดจำไปสู่การคิดวิเคราะห์ ประเมินค่า และสร้างสรรค์ การเชื่อมโยงนี้เป็นหัวใจสำคัญของหลักสูตร SFI เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีจะถูกใช้ไม่ใช่ในฐานะเครื่องมือนำเสนอ แต่เป็นตัวเร่งที่ผลักดันนักเรียนให้ก้าวข้ามการท่องจำและความเข้าใจไปสู่การวิเคราะห์ การประเมิน และการสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้สร้างนวัตกรรมในอนาคต
โมดูลที่ 2: การออกแบบห้องเรียนที่ผสานเทคโนโลยี
โมดูลนี้มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมครูในเชิงปฏิบัติ เพื่อให้สามารถจัดการชั้นเรียนที่บูรณาการเทคโนโลยีได้อย่างราบรื่น โดยครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ บทบาทและความรับผิดชอบของครูที่เปลี่ยนไป การอำนวยความสะดวกในชั้นเรียน (Facilitating a Tech-infused lesson) การออกแบบกิจกรรมให้ครอบคลุมนักเรียนกลุ่มพิเศษ (Special Needs Considerations) และแนวทางการรับมือกับปัญหาทางเทคนิคที่อาจเกิดขึ้น
โมดูลที่ 3: การทดลองใช้บทเรียนพร้อมใช้ (Starter Pack)
ผู้เข้าร่วมอบรมได้ลงมือปฏิบัติจริง (Hands-on) โดยเริ่มจากการลงทะเบียนเข้าใช้แพลตฟอร์ม Intel® SFI จากนั้นได้ทดลองดาวน์โหลดและใช้งานบทเรียนตัวอย่าง "Virtual Tourism" (การท่องเที่ยวเสมือนจริง) ผ่านโปรแกรม Delightex ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้างโลก 3 มิติแบบโต้ตอบได้ กิจกรรมนี้ช่วยให้ครูผู้สอนได้สัมผัสประสบการณ์ตรงและเห็นภาพอย่างชัดเจนว่า จะสามารถนำบทเรียนสำเร็จรูปไปปรับใช้ในห้องเรียนของตนเองได้อย่างไร
โมดูลที่ 4: การจัดทำแผนและบูรณาการหลักสูตร (Curriculum Mapping)
ในช่วงสุดท้ายของการอบรม ครูผู้เข้าร่วมได้ทำงานกลุ่มเพื่อวางแผนนำบทเรียนจาก SFI Starter Pack ไปปรับใช้กับเนื้อหาวิชาและหลักสูตรที่ตนเองรับผิดชอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของ SFI เข้ากับตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางฯ ที่มีอยู่ กระบวนการนี้ช่วยให้ครูสามารถบูรณาการนวัตกรรมการสอนเข้ากับภาระงานปัจจุบันได้อย่างเป็นรูปธรรม
กิจกรรมทั้งหมดถูกออกแบบมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจให้ครูผู้สอนสามารถนำความรู้และเครื่องมือที่ได้รับไปปรับใช้ได้ทันทีในภาคการศึกษาที่กำลังจะมาถึง
4. เครื่องมือและทรัพยากรภายใต้ระบบนิเวศของ Intel® SFI
Intel® SFI ไม่ได้เป็นเพียงการอบรมที่จัดขึ้นครั้งเดียว แต่เป็นระบบนิเวศ (Ecosystem) การเรียนรู้ที่สมบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องมือและทรัพยากรที่สนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพครูและการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน องค์ประกอบหลักของระบบนิเวศนี้ ได้แก่
• Intel® SFI Starter Pack Lessons (บทเรียนพร้อมใช้):
    ◦ เป็นคลังกิจกรรมการเรียนรู้สำเร็จรูป กว่า 100+ กิจกรรม (รวมกว่า 200+ ชั่วโมง) ที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริม Mindsets และ Skillsets ครอบคลุมเนื้อหาหลากหลายวิชา (STEM, ภาษาศาสตร์, สังคมศาสตร์) สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ละบทเรียนมาพร้อมสื่อการเรียนรู้ครบครัน ทั้งคู่มือครู สไลด์ประกอบการสอน และใบงานสำหรับนักเรียน ปัจจุบัน มีการแปลเป็นภาษาไทยแล้วจำนวน 8 บทเรียน เพื่อพร้อมสำหรับการนำไปใช้งานได้ทันที
• Intel® SFI Professional Development (การพัฒนาวิชาชีพครู):
    ◦ หลักสูตรพัฒนาวิชาชีพออนไลน์ กว่า 80 ชั่วโมง ที่ช่วยยกระดับศักยภาพครูอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับ เพื่อพัฒนาครูจากผู้ใช้เทคโนโลยีไปสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านนวัตกรรม ดังนี้:
        ▪ การปรับตัว (Adaptation): สร้างพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
        ▪ ความเป็นเจ้าของ (Ownership): เปลี่ยนจากผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาไปสู่ผู้นำการเรียนรู้
        ▪ การสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiration): สร้างสรรค์ประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ๆ ด้วยเทคโนโลยี
        ▪ เมนเทอร์ (Mentor): พัฒนาสู่การเป็นผู้ให้คำปรึกษาและพี่เลี้ยงด้านนวัตกรรม
• Intel® SFI Community & Recognition Programs (ชุมชนและการยกย่อง):
    ◦ เป็นพื้นที่สำหรับต่อยอดความสำเร็จและสร้างเครือข่ายสำหรับครูและสถานศึกษา ประกอบด้วย:
        ▪ Ambassador Program: โปรแกรมสำหรับครูผู้มีความโดดเด่นในการนำ SFI ไปปรับใช้ แบ่งเป็นระดับ Silver และ Gold เพื่อเป็นตัวแทนในการแบ่งปันประสบการณ์
        ▪ Certified School Program: โปรแกรมการรับรองและยกย่องสถาบันการศึกษาที่สามารถบูรณาการกรอบแนวคิดของ Intel® SFI เข้ากับการจัดการเรียนการสอนได้อย่างประสบความสำเร็จ
ท่านสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าถึงบทเรียนและทรัพยากรทั้งหมดได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่เว็บไซต์ https://skillsforinnovation.intel.com โดยใช้รหัสลงทะเบียน: INTELSFICM
เครื่องมือและทรัพยากรเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้การนำหลักสูตร Intel® SFI ไปปรับใช้ในโรงเรียนเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
5. แผนการดำเนินงานขั้นต่อไปและตัวชี้วัดความสำเร็จ
ความสำเร็จของโครงการไม่ได้สิ้นสุดลงที่การอบรม แต่เริ่มต้นจากการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริงในห้องเรียนและการขยายผลอย่างเป็นระบบ ทางโครงการจึงได้วางแผนการติดตามและสนับสนุนการดำเนินงานไว้อย่างต่อเนื่อง ดังนี้
แผนการดำเนินงาน Intel® SFI ปี พ.ศ. 2568-2569
ช่วงเวลา
กิจกรรมหลัก
เทอม 2/2568
ครูที่เข้าร่วมอบรมนำหลักสูตร Intel® SFI ไปใช้สอนจริงในห้องเรียน
มกราคม 2569
จัดประชุมติดตามผล (ออนไลน์) และเปิดรับสมัครครูเข้าร่วมโปรแกรม Silver Ambassador
กุมภาพันธ์ 2569
คัดเลือกโรงเรียนที่มีความพร้อมเพื่อสมัครเข้าร่วมโปรแกรม Certified School และจัดทำเรื่องราวความสำเร็จ (Success Story)
เพื่อให้การสนับสนุนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทันท่วงที ทางโครงการได้จัดตั้งช่องทางการสื่อสารสำหรับผู้เข้ารับการอบรมผ่าน Line OpenChat: Intel® SFI - เทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการสอบถามปัญหา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และรับข่าวสารจากโครงการโดยตรง
เรามีความมุ่งมั่นที่จะติดตามและสนับสนุนคณะครูทุกท่านอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนในการพัฒนาครั้งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ทางการศึกษาที่ยั่งยืนสำหรับนักเรียนและสถานศึกษาต่อไป
6. สรุปและผลกระทบเชิงกลยุทธ์
การอบรมเชิงปฏิบัติการครูต้นแบบหลักสูตร Intel® Skills for Innovation (SFI) ณ จังหวัดเชียงใหม่ ประสบความสำเร็จในการบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เป็นอย่างดี โดยได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากคณะครูผู้เข้าร่วม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตระหนักและความพร้อมในการเปิดรับนวัตกรรมการสอนรูปแบบใหม่ โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นการมอบความรู้ แต่ยังเป็นการจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้ครูเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในห้องเรียนของตนเอง
ในระยะยาว โครงการนี้จะสร้างผลกระทบเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญใน 3 ระดับ ดังนี้:
• ต่อตัวนักเรียน: เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้ที่ทันสมัยและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21
• ต่อตัวครู: สร้างความมั่นใจและมอบเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอนที่ผสานเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
• ต่อสถานศึกษา: ยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาและสร้างชื่อเสียงในฐานะสถาบันผู้นำด้านนวัตกรรม (ผ่านโปรแกรม Certified School)
ท้ายที่สุดนี้ วิสัยทัศน์ของโครงการสอดคล้องกับคำกล่าวของ Robert Noyce ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Intel ที่ว่า:
"จงอย่าให้ประวัติศาสตร์มาขวางกั้นเรา แต่จงออกไปทำอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านั้น"
คำกล่าวนี้เป็นทั้งแรงบันดาลใจและเครื่องย้ำเตือนว่า การศึกษาต้องไม่หยุดนิ่ง แต่ต้องพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับผู้เรียนทุกคน

ทำความเข้าใจทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ผ่านกรอบแนวคิด Intel® Skills for Innovation (SFI)
บทนำ: โลกที่เปลี่ยนแปลงและทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต
ในยุคที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลาดแรงงานกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ งานในรูปแบบเดิมกำลังลดน้อยลง ในขณะที่งานรูปแบบใหม่ที่ต้องอาศัยทักษะด้านเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การคาดการณ์แนวโน้มอาชีพในปี 2030 แสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงนี้
อาชีพใหม่ที่จะเกิดขึ้น (170 ล้านตำแหน่ง)
อาชีพที่จะลดลง (78 ล้านตำแหน่ง)
1. ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI & Machine Learning
1. อาชีพเลขาและธุรการ
2. ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลขนาดใหญ่
2. เสมียนบัญชี ทำบัญชีและจ่ายเงินเดือน
3. นักวิเคราะห์ความปลอดภัยของข้อมูล
3. บริหารทั่วไป
4. นักวิเคราะห์ข้อมูล
4. อาชีพคีย์ข้อมูล
5. ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลและกลยุทธ์
5. นักบัญชีและผู้สอบบัญชี
ตารางข้างต้นคือ 5 ตัวอย่างแรกจากรายการบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปในวงกว้าง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) และวิทยาการข้อมูล (Data Science) กำลังมีความต้องการสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่งานธุรการที่ทำซ้ำๆ กำลังถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ สำหรับนักการศึกษาและผู้กำหนดนโยบาย นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าหลักสูตรจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการสอนเนื้อหาแบบแยกส่วน ไปสู่การเรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project-Based Learning) ที่บูรณาการการคิดเชิงคำนวณและความรู้ด้านข้อมูลเข้าไปในทุกรายวิชา ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนวิทยาศาสตร์หรือคอมพิวเตอร์อีกต่อไป
นอกจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอาชีพแล้ว ความต้องการประเภทของทักษะก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ข้อมูลจาก McKinsey Global Institute ได้คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของชั่วโมงการทำงานตามประเภททักษะภายในปี 2030 ไว้อย่างน่าสนใจ
ประเภททักษะ
การเปลี่ยนแปลงในสหรัฐอเมริกา (%)
การเปลี่ยนแปลงในยุโรป (%)
ทักษะทางด้านเทคโนโลยี
+60%
+52%
ทักษะทางสังคมและการจัดการอารมณ์
+26%
+22%
ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์
+9%
+7%
ทักษะเชิงเทคนิคทั่วไป
-11%
-17%
ทักษะทางภาษาและการคำนวณพื้นฐาน
-14%
-16%
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนข้อมูลเชิงลึกด้านการสอนที่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นคือ "วิธีการเรียนรู้" (How) กำลังมีความสำคัญเทียบเท่ากับ "เนื้อหาที่เรียน" (What) การที่ความต้องการทักษะพื้นฐานลดลงอย่างต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้แบบท่องจำกำลังหมดคุณค่าลง ในขณะที่ความต้องการทักษะทางสังคม อารมณ์ และเทคโนโลยีที่พุ่งสูงขึ้นเป็นข้อพิสูจน์ว่า การศึกษาที่จะทำให้ผู้เรียนพร้อมสำหรับอนาคตจะต้องให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกัน การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการสร้างสรรค์ผลงานดิจิทัล
เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ Intel® ได้พัฒนากรอบการเรียนรู้ที่เรียกว่า Skills for Innovation หรือ SFI เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่
1. รู้จัก Intel® Skills for Innovation (SFI): กรอบแนวคิดเพื่อสร้างนวัตกร
กรอบการเรียนรู้ Intel® Skills for Innovation (SFI) ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือเสริมสร้างทักษะแห่งนวัตกรรม โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการคือ:
• การเพิ่มทักษะทางด้านเทคโนโลยี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
• การยกระดับองค์ความรู้สู่การประยุกต์ใช้ วิเคราะห์ และประดิษฐ์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้ในระดับสูงของ Bloom's Taxonomy (Higher-Order Thinking Skills)
• การบูรณาการกิจกรรมเทคโนโลยีเข้ากับการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน และเชื่อมโยงแนวคิดในหลักสูตรเข้ากับสถานการณ์จริง
กรอบแนวคิด SFI ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลักที่ทำงานร่วมกัน คือ Mindsets (กรอบความคิด) และ Skillsets (ชุดทักษะ)
Mindsets (กรอบความคิด)
Skillsets (ชุดทักษะ)
Social-Emotional<br>Design Thinking (การคิดเชิงออกแบบ)<br>Computational Thinking (การคิดเชิงคำนวณ)
Artificial Intelligence & Machine Learning (ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง)<br>Data Science (วิทยาการข้อมูล)<br>Programming & Coding (การเขียนโปรแกรมและโค้ด)<br>Modeling & Simulation (การจำลองและการสร้างแบบจำลอง)
จากกรอบแนวคิดนี้ เราจะมาเจาะลึกถึง 'Mindsets' หรือกรอบความคิดที่เป็นรากฐานสำคัญของการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์นวัตกรรม
2. เจาะลึก "Mindsets": รากฐานความคิดของนวัตกร
Mindsets คือกระบวนทัศน์หรือแนวทางการคิดที่เป็นรากฐานสำคัญในการเผชิญหน้ากับปัญหาที่ซับซ้อนและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในกรอบของ SFI ประกอบด้วยแนวคิดหลัก 3 ประการดังนี้
1. การเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (Social-Emotional Learning)
นี่คือรากฐานที่สำคัญที่สุดของนวัตกร เพราะนวัตกรรมไม่ได้เกิดจากคนเพียงคนเดียว แต่เกิดจากการทำงานร่วมกัน กรอบความคิดนี้เน้นการพัฒนาทักษะด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration) ความมุมานะพยายามไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค (Persistence) และความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (Empathy) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นในการสร้างทีมที่แข็งแกร่งและขับเคลื่อนแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ให้เป็นจริง
2. การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking)
การคิดเชิงออกแบบ คือกระบวนการแก้ปัญหาที่เน้นการทำความเข้าใจผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (User-Centric) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนสำคัญ ดังนี้
1. Empathize: การทำความเข้าใจและเข้าอกเข้าใจผู้ใช้ เพื่อมองเห็นปัญหาจากมุมมองของพวกเขา
2. Collaborate & Define: การทำงานร่วมกันเพื่อสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเข้าอกเข้าใจผู้ใช้ และนำมาสู่การนิยามแก่นของปัญหาที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับร่วมกันในทีม
3. Ideate: การระดมความคิดเพื่อค้นหาแนวทางการแก้ปัญหาที่หลากหลายและสร้างสรรค์
4. Prototype: การสร้างต้นแบบอย่างรวดเร็วเพื่อทดสอบแนวคิดและทำให้ไอเดียเป็นรูปธรรม
5. Test: การนำต้นแบบไปทดสอบกับผู้ใช้จริง เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและนำกลับมาปรับปรุงแก้ไข
3. การคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking)
การคิดเชิงคำนวณ คือกระบวนการคิดเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนอย่างเป็นระบบ โดยประยุกต์ใช้แนวคิดพื้นฐานของวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก
• Decomposition (การย่อยปัญหา): การแบ่งปัญหาใหญ่ที่ซับซ้อนออกเป็นปัญหาย่อยๆ ที่สามารถจัดการได้ง่ายขึ้น
• Pattern Recognition (การจดจำรูปแบบ): การมองหารูปแบบ ความเหมือน หรือความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในปัญหาย่อยเหล่านั้น
• Abstraction (การคิดเชิงนามธรรม): การมุ่งความสนใจไปที่ข้อมูลที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหา และละทิ้งรายละเอียดที่ไม่สำคัญออกไป
• Algorithms (การออกแบบอัลกอริทึม): การออกแบบขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นลำดับและชัดเจน ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติหรือให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามได้
เมื่อมีกรอบความคิดที่แข็งแกร่งแล้ว ทักษะทางเทคโนโลยี หรือ 'Skillsets' คือเครื่องมือที่จะเปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นความจริง
3. สำรวจ "Skillsets": เครื่องมือทางเทคโนโลยีแห่งอนาคต
Skillsets ในกรอบ SFI คือกลุ่มทักษะทางเทคโนโลยีที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้เกิดขึ้นจริง
• ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง (AI & Machine Learning) ครอบคลุมเทคโนโลยีย่อยที่สำคัญ เช่น Robotics (วิทยาการหุ่นยนต์)Natural Language Processing (การประมวลผลภาษาธรรมชาติ), และ Computer Vision (คอมพิวเตอร์วิทัศน์) ทักษะนี้เป็นหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม
• วิทยาการข้อมูล (Data Science) ประกอบด้วยทักษะย่อย เช่น Data Wrangling (การจัดเตรียมข้อมูล)Statistical Analysis (การวิเคราะห์เชิงสถิติ)Data Modelling (การสร้างแบบจำลองข้อมูล), และ Data Visualization (การนำเสนอข้อมูลด้วยภาพ) ทักษะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนข้อมูลมหาศาลให้เป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น
• การเขียนโปรแกรมและโค้ด (Programming & Coding) เป็นทักษะพื้นฐานในการสั่งการให้คอมพิวเตอร์ทำงานและสร้างโซลูชันทางดิจิทัล ตั้งแต่การสร้างเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ไปจนถึงการควบคุมระบบอัตโนมัติ
• การจำลองและการสร้างแบบจำลอง (Modeling & Simulation) เป็นกระบวนการสร้างแบบจำลองเสมือนจริงของระบบหรือปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อทดลองแนวคิด คาดการณ์ผลลัพธ์ และทำความเข้าใจระบบที่ซับซ้อนโดยไม่ต้องเสี่ยงกับต้นทุนหรืออันตรายในโลกแห่งความเป็นจริง
ทักษะด้านการเขียนโปรแกรมและการสร้างแบบจำลองถือเป็นเครื่องมือคู่กันที่ใช้ในการเปลี่ยนข้อมูลและอัลกอริทึมให้กลายเป็นโซลูชันที่จับต้องได้และแบบจำลองที่สามารถทดสอบได้
กรอบแนวคิดและทักษะเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี แต่ Intel SFI ได้สร้างเครื่องมือที่เป็นรูปธรรมเพื่อนำไปใช้ในห้องเรียนจริง
4. จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ: เครื่องมือในโปรแกรม Intel® SFI
โปรแกรม Intel® SFI ได้พัฒนาเครื่องมือหลักเพื่อช่วยให้ครูและนักเรียนสามารถพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้จริงในห้องเรียน สร้างสะพานเชื่อมระหว่างแนวคิดทักษะแห่งอนาคตกับการเรียนการสอนในปัจจุบัน
• Intel® SFI Starter Pack Lessons (บทเรียนพร้อมใช้): เป็นคลังกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีมากกว่า 100 กิจกรรม (รวมกว่า 140 ชั่วโมง) ซึ่งออกแบบมาเพื่อส่งเสริมทั้ง Mindsets และ Skillsets โดยครอบคลุมหลากหลายวิชา เช่น STEM, ภาษาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาถึงมัธยมปลาย แต่ละบทเรียนมาพร้อมกับสื่อการสอนครบวงจร ทั้ง คู่มือครู (teacher guides), สไลด์เนื้อหา (presentation slides), และใบงาน (worksheets) ซึ่งช่วยลดเวลาในการเตรียมการสอนของครูและสร้างมาตรฐานการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
• Intel® SFI Professional Development (การพัฒนาวิชาชีพครู): เป็นหลักสูตรออนไลน์และเวิร์กชอปที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาศักยภาพของครูในการจัดการเรียนการสอนที่ผสานเทคโนโลยี โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับ หลักสูตรนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อนำพาครูผู้สอนเดินทางตั้งแต่การเป็น 'ผู้ปรับใช้เทคโนโลยี' (Adaptation) ที่มีความมั่นใจ ไปสู่การเป็น 'ที่ปรึกษาด้านนวัตกรรม' (Mentor) ที่สามารถชี้นำและสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนร่วมงานได้
เครื่องมือเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนให้นักการศึกษาสามารถนำกรอบแนวคิด SFI ไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ทันสมัยให้กับผู้เรียน
5. สรุป: การเตรียมความพร้อมสู่อนาคตแห่งการเรียนรู้
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและตลาดแรงงานได้ทำให้ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นสำหรับผู้เรียนทุกคน กรอบแนวคิด Intel® Skills for Innovation (SFI) ได้นำเสนอแนวทางที่ชัดเจนและเป็นระบบ โดยผสาน Mindsets ที่แข็งแกร่งอย่างการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ การคิดเชิงออกแบบ และการคิดเชิงคำนวณ เข้ากับ Skillsets ทางเทคโนโลยีที่จำเป็น เช่น AI, Data Science และการเขียนโปรแกรม
ด้วยเครื่องมือที่สนับสนุนการนำไปใช้ได้จริงอย่าง Starter Pack Lessons สำหรับนักเรียน และ Professional Development สำหรับครู ทำให้ SFI เป็นมากกว่าแค่ทฤษฎี แต่เป็นแนวปฏิบัติที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในโลกอนาคตได้อย่างมั่นใจ
ดังคำกล่าวของ Robert Noyce ผู้ร่วมก่อตั้ง Intel ที่ว่า:
"จงอย่าให้ประวัติศาสตร์มากีดขวางเรา แต่จงออกไปทำอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านั้น"
นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่เราต้องก้าวข้ามกรอบการเรียนรู้แบบเดิมๆ และมุ่งมั่นพัฒนาทักษะแห่งนวัตกรรมเพื่อสร้างอนาคตที่ดียิ่งขึ้น
บทสรุปสำหรับผู้บริหาร: โครงการ Intel® Skills for Innovation (SFI)
บทนำ: เตรียมความพร้อมสำหรับโลกยุคใหม่
ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์การทำงานและการใช้ชีวิตอย่างสิ้นเชิง โครงการ Intel® Skills for Innovation (SFI) ได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์สำหรับสถาบันการศึกษาในการบูรณาการทักษะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ากับหลักสูตรการสอนที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอกสารฉบับนี้สรุปภาพรวมของโครงการ SFI ตั้งแต่วัตถุประสงค์ องค์ประกอบหลัก ไปจนถึงประโยชน์ที่นักเรียน ครู และสถานศึกษาจะได้รับ เพื่อเตรียมความพร้อมคนรุ่นใหม่ให้สามารถรับมือกับความท้าทายในโลกยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ
--------------------------------------------------------------------------------
1. ความจำเป็นในโลกที่เปลี่ยนแปลง: ทำไมต้องมี SFI?
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและตลาดแรงงาน ทำให้ระบบการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัว โครงการ SFI ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายสำคัญดังต่อไปนี้
• เทรนด์เทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Generative AI และ Metaverse กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการศึกษา โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า 51% ของครูในสหรัฐอเมริกา ได้นำ ChatGPT มาใช้ในการเรียนการสอนแล้ว ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการปรับใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
• ตลาดแรงงานแห่งอนาคต: World Economic Forum คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ตำแหน่งงานใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning จะมีความต้องการสูงขึ้น ในขณะที่ตำแหน่งงานแบบดั้งเดิม เช่น งานธุรการและงานบันทึกข้อมูล จะลดความสำคัญลงอย่างมาก
• ทักษะที่โลกต้องการ: ข้อมูลจาก McKinsey Global Institute ชี้ว่าภายในปี 2030 ชั่วโมงการทำงานที่ต้องใช้ทักษะด้านเทคโนโลยีจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในสหรัฐฯ และ 52% ในยุโรป ในขณะที่ชั่วโมงของทักษะพื้นฐานจะลดลงกว่า 16% ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปหลักสูตร
โครงการ SFI คือคำตอบของ Intel เพื่อช่วยให้ระบบการศึกษาสามารถสร้างและพัฒนาทักษะที่จำเป็นเหล่านี้ให้กับผู้เรียนได้อย่างเป็นระบบ
2. ภาพรวมโครงการ Intel® Skills for Innovation (SFI)
Intel® SFI คือกรอบการเรียนรู้ (Framework) ที่ช่วยผสานทักษะด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ากับหลักสูตรปัจจุบันของโรงเรียน สำหรับนักเรียนอายุ 5-19 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนานักเรียนให้มีทั้ง "กรอบความคิด (Mindsets)" และ "ชุดทักษะ (Skillsets)" ที่จำเป็นสำหรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
• Mindsets: ส่งเสริมกรอบความคิดที่สำคัญ เช่น การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking), การคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) และทักษะทางสังคมและอารมณ์ (Social-Emotional Skills)
• Skillsets: พัฒนาทักษะเชิงเทคนิคที่เป็นที่ต้องการ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), วิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) และการเขียนโค้ด (Coding)
SFI ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การสอนใช้เครื่องมือ (Skillsets) แต่ให้ความสำคัญกับการสร้างกรอบความคิด (Mindsets) ที่จะทำให้นักเรียนสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างสร้างสรรค์ โดยโครงการ SFI เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ Intel® Digital Readiness ที่ครอบคลุมการพัฒนาทักษะดิจิทัลในทุกช่วงวัย ตั้งแต่ระดับ K-12 ไปจนถึงระดับอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย
3. องค์ประกอบหลักของระบบนิเวศ SFI (SFI Ecosystem)
โครงการ SFI ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักที่ทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนทั้งครูและนักเรียนอย่างครบวงจร
1. บทเรียนพร้อมใช้ (Intel® SFI Starter Pack)
    ◦ คลังบทเรียนและกิจกรรมสำเร็จรูป มากกว่า 100 กิจกรรม (รวมกว่า 140 ชั่วโมง) ที่สามารถดาวน์โหลดไปใช้ได้ฟรี
    ◦ เนื้อหาครอบคลุมหลากหลายวิชา เช่น STEM (คณิตศาสตร์, ฟิสิกส์), ภาษาศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ (ประวัติศาสตร์, สังคมศาสตร์) สำหรับระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย
    ◦ แต่ละบทเรียนมาพร้อมสื่อการสอนครบชุด ได้แก่ คู่มือครู, สไลด์นำเสนอ และใบงานสำหรับนักเรียน โดยมี 8 บทเรียนที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย
2. หลักสูตรพัฒนาวิชาชีพครู (Intel® SFI Professional Development)
    ◦ หลักสูตรอบรมออนไลน์และเวิร์กชอป ความยาวกว่า 80 ชั่วโมง ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความมั่นใจให้แก่คุณครู
    ◦ เส้นทางการพัฒนาแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่การเรียนรู้เพื่อใช้งานเทคโนโลยี (การปรับตัว) ไปจนถึงการเป็นที่ปรึกษาด้านนวัตกรรม (เมนเทอร์)
    ◦ ผู้ที่เรียนจบในแต่ละระดับจะได้รับตราดิจิทัล (Digital Badge) และเกียรติบัตรเพื่อรับรองความสามารถ
3. ชุมชนและการยกย่อง (Community & Recognition)
    ◦ Intel® SFI Ambassador Program: เปิดโอกาสให้ครูผู้สอนที่มีความมุ่งมั่นได้รับการยกย่องในฐานะ Silver Ambassador หรือ Gold Ambassador เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในชุมชน
    ◦ Intel® SFI Certified School: การรับรองสำหรับโรงเรียนที่สามารถบูรณาการกรอบการเรียนรู้ของ SFI เข้ากับการจัดการเรียนการสอนได้อย่างประสบความสำเร็จ เพื่อยกย่องความเป็นสถาบันแห่งนวัตกรรม
องค์ประกอบที่เชื่อมโยงกันเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทรัพยากรแยกส่วน แต่คือระบบนิเวศที่สมบูรณ์ซึ่งส่งมอบคุณค่าที่วัดผลได้โดยตรงแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับ
4. ประโยชน์สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
โครงการ SFI มอบประโยชน์ที่ชัดเจนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกระดับ ดังตารางต่อไปนี้
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ประโยชน์สำคัญที่จะได้รับ
นักเรียน
เปลี่ยนสถานะจากผู้รับความรู้สู่การเป็นนักสร้างสรรค์นวัตกรรม พร้อมทักษะที่ตอบโจทย์โลกอนาคต
คุณครู
ยกระดับบทบาทจากผู้สอนสู่การเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้และที่ปรึกษาด้านนวัตกรรม (Learning Facilitator & Innovation Mentor)
โรงเรียน
สร้างความโดดเด่นในฐานะสถาบันการศึกษาแห่งอนาคตที่ผลิตบุคลากรคุณภาพสูงและได้รับการยอมรับในระดับสากล
ด้วยประโยชน์ที่ครอบคลุมนี้ การเริ่มต้นใช้งานโครงการ SFI จึงเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตของการศึกษา
5. ขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการ
คุณครูและสถานศึกษาสามารถเริ่มต้นใช้งาน SFI ได้อย่างง่ายดายตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ลงทะเบียน: เข้าไปที่เว็บไซต์ https://skillsforinnovation.intel.com และลงทะเบียนเพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
2. ใช้รหัสเข้าร่วม: ใช้รหัสเข้าร่วม (Registration Code) ซึ่งโดยปกติจะได้รับจากผู้ประสานงานโครงการในแต่ละพื้นที่หรือกิจกรรม เพื่อเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม
3. นำไปปรับใช้: เริ่มต้นจากการเข้าร่วมการอบรมพัฒนาวิชาชีพครู (Professional Development), จากนั้นนำบทเรียนพร้อมใช้ (Starter Packs) ไปปรับใช้ในห้องเรียน และสามารถต่อยอดสู่การเข้าร่วมโครงการ SFI Ambassador หรือนำโรงเรียนเข้ารับการประเมิน Certified School ในลำดับต่อไป

ครูเค รักล้านนา

รักอิสระ รักสุขภาพ รักฟ้อนเจิงล้านนา

ใหม่กว่า เก่ากว่า